วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Does 16 GB is enough for iPhone?

Which storage size did you choose for your iPhone (or your new iPhone)?

For me, I choosed 16 GB iPhone.

Someone may think 16 GB is not enough because they are hard core storage users. They take many many photos, long lenght videos, use many applications, store ton of songs, and games that use high amount of storage. So, 16 GB will never enough for them.

Those storage uses style are opposite from me. I have only 100+ but not over 200 songs, never take long lenght videos (the longest videos I've taken are never reach 15 minutes), I've used around 10-15 applications on my iPhone. What about games on iPhone? I've downloaded only 2-4 games on my iPhone. When I don't need to play anymore, I always delete it from my  iPhone.

From my storage uses style that I explained above. You'll see that 16 GB iPhone is enough for me. At this time when I was writing this blog entry, my 16 GB iPhone had around 6.8 GB free storage that I think it is plenty.

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

G-Shock สายเงา

ถ้าเอ่ยถึงนาฬิกา G-Shock เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก นาฬิกาข้อมือที่สมัยหนึ่งโด่งดังมาก คู่กับ Baby-G ใครมีใส่ล่ะก็ (ในสมัยหนึ่งนั้น) จะดูเท่ ไฮโซสุดๆ (ปัจจุบันก็ยังเท่นะ)

และในสมัยหนึ่งนั่นเอง ผู้เขียนอยู่ในวัยประถมปลาย การจะมี G-Shock ใส่นั้นขึ้นอยู่กับว่าที่บ้านจะซื้อให้ใส่หรือไม่ (ยังไม่ได้ทำงานนี่นา) ก็ได้แต่นั่งมองเพื่อนและคนอื่นใส่ พร้อมคิดว่า ถ้ามีใส่บ้างก็คงจะดีสินะ เท่สุดๆ ไปเลย มีไฟในที่มืดด้วย เวลากดไฟก็มีอะไรต่ออะไรกระพริบบนหน้าจอเต็มไปหมด เห็นแล้วฟินมากกกก

เวลาผ่านไปเร็วราวกับโกหก ผู้เขียนเรียนจบ มีงานทำ อยู่ๆ ก็นึกถึงสมัยเด็กขึ้นมาว่าเราอยากได้ G-Shock นี่นา ซื้อมาใส่เป็นของตัวเองสักเรือนคงดีไม่หยอก

ว่าแล้วก็หารุ่นที่ถูกใจ สั่งซื้อทางเน็ต (มันถูกกว่าห้างนี่นา) ก็ได้ G-Shock รุ่น G-Lide สีดำ สายเงา มาเรือนนึง

แล้วยังไงน่ะเหรอ??

แค่อยากมาเตือนคนรัก G-Shock ว่า ถ้าใช้รุ่นที่เป็นสายเงาล่ะก็ อย่าได้ใช้สมบุกสมบันดั่งชื่อ G-Shock เชียว เพราะว่าสายเงาๆ สุดสวยนั้นมันลอกได้น่ะสิ (ฮืออออ~ G-Shock สุดเท่เรือนแรกของเรา... หมดสวยเลย)

ดูรูปเอานะครับว่าลอกแล้ว เป็นยังไง อิอิ (เรือนนี้อายุ 2 ปีกว่าแล้ว แต่ยังใส่อยู่ทุกวันนะจ๊ะ เพราะถ่านยังไม่หมด เวลาก็เดินตรงอยู่)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คิดจะใช้นาฬิกาสายเงา (สายพลาสติกนะจ๊ะ) ต้องรักษาให้ดีๆ มิเช่นนั้นนาฬิกาสุดรักของท่านจะเป็นแบบผู้เขียน

>_<

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ขายมือถือให้ร้านตู้

เมื่อมือถือเครื่องใหม่มา เครื่องเก่าก็ต้องไป

สำหรับคนงบน้อยอย่างเรา เวลาเปลี่ยนมือถือ ก็ต้องเอาเครื่องเก่าไปเทิร์นหรือเอาไปขาย เพื่อเอาเงินมาสมทบทุนค่าเครื่องใหม่

หลายคนคงประกาศขายทางอินเทอร์เน็ต เพราะได้ราคาดีกว่าไปขายตามร้านตู้ แต่อาจใช้เวลาหน่อย เพราะต้องรอคนติดต่อกลับมา

ส่วนเรา เลือกขายที่ร้านตู้ เพราะอยากได้เงินทันที ราคารับซื้อของร้านตู้อาจต่ำกว่าขายเองบ้าง แต่ก็รับได้ แลกกับการต้องรอคอยให้มีผู้ต้องการซื้อติดต่อกลับถ้าประกาศขายเอง

เล่าประสบการณ์ตอนเอาไปขาย ฝากไว้เผื่อมีคนหลงมาอ่าน

เตรียมความพร้อม
- ทำความสะอาดเครื่องให้เงาวับ
- มีกล่อง มีอุปกรณ์ที่มาพร้อมกล่อง ก็เอาไปด้วย ถ้าอุปกรณ์ในกล่องยังไม่ได้ใช้ยิ่งดีเลย
- มีใบเสร็จติดไปด้วยก็ดีนะ จะได้ยืนยันได้ ว่าซื้อเมื่อไหร่ จะยังอยู่ในประกันหรือเปล่า
- สำรวจราคาไปก่อนก็ดี ว่ารุ่นของเรา มือสองขายกันที่ราคาประมาณไหน

บุกร้าน!!
- ไปหาร้านที่เราจะขายตามแหล่งขายมือถือ
- ถ้าติดป้ายหน้าร้านว่า รับซื้อ ให้ราคาสูงปรี๊ดดดดด ยิ่งดี (แต่ก็อย่าเชื่อมากว่าจะให้ราคาสูง)
- พกความมั่นใจ เดินไปหาคนขาย (เอ๊ะ หรือคนซื้อ) บอกว่าอยากจะขายมือถือเครื่องเก่า ช่วยตีราคาให้หน่อย มีอุปกรณ์ให้ครบหรือไม่ครบก็ว่ากันไป ประกันยังเหลือก็แจ้งไปด้วย
- ร้านก็จะเช็คสภาพเครื่อง แล้วตีราคาให้ (หรือบางร้านให้เราตั้งราคาเองเลยก็มี แล้วค่อยต่อราคาเรา)

ตัดสินใจ
- ถ้ารับราคาที่ร้านบอกมาได้ ก็ตกลงขาย ที่ร้านก็จะเช็คความเรียบร้อยของเครื่องที่เราเอามาขายอีกครั้ง แล้วขอรายละเอียดบัตรประชาชนเราไว้เพื่อเป็นหลักฐานการขายเครื่อง (เผื่อว่าเครื่องได้มาอย่างไม่ถูกกฎหมาย เช่น ไปขโมยมาจะได้ตามตัวกันได้) จากนั้นรอรับเงินสดทันที
- ถ้าไม่พอใจก็ขอเครื่องคืน แล้วลองไปหาร้านอื่น (จำราคาที่ร้านนี้ตีให้ด้วยก็ดี จะได้เอาไว้ตัดสินใจอีก เผื่อร้านแรกนี่แหละให้ราคาสูงสุด)

เล่าสู่กันฟัง เป็นประสบการณ์เล็กๆ เผื่อใครคิดจะเอามือถือเก่าไปขายเอาทุนครับ

ขอให้มีความสุขกับมือถือคู่ใจ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทำไมไม่ใช้ Samsung Galaxy Note?

เพราะว่า...

ความรู้สึกหลังจากใช้ Samsung Galaxy Note 4

- จอใหญ่ดีมาก
- จอสีสด
- ปากกา S-pen เจ๋งสุดๆ ใช้แทนสมุดโน้ตได้เลย
- กล้องชัด มีกันภาพสั่นที่เลนส์ให้ด้วย
- ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกเพียบ ทั้ง selfie มุมกว้าง  จอไม่ดับถ้าเครื่องรับรู้ว่าเรายังอยู่หน้าจอ เปิดรายชื่อในสมุดโทรศัพท์แล้วยกหูโทรได้ทันทีไม่ต้องกดโทร ปิดเสียงเมื่อคว่ำเครื่องหรือเอามือบังแถวๆ จอ แปลงลายมือเป็นตัวพิมพ์ แปลงภาพที่มีตัวอักษรให้เป็นตัวอักษร ฯลฯ แบบว่า smart phone ของแท้ ฉลาดจริง

แล้วทำไมไม่ใช้ต่อล่ะ??

จริงๆ เราซื้อซีรี่ย์ Note มาใช้ตั้งแต่ Note 2 3 และล่าสุด 4 แล้ว เพราะเป็นคนหลงใหลในการเขียนลงกระดาษ และการเขียนด้วยลายมือตัวเองอยู่แล้ว พอเจอ Note เข้าก็หลงรักเลย สมุดจดดิจิทัล ที่เขียนด้วยลายมือตัวเองได้ และจะติดตัวเราไปทุกที่

แต่พอใช้จริง มันก็ไม่เหมาะกับเรา ฟังก์ชันล้ำๆ ที่ได้ใช้จริงก็มีแค่ จอไม่ดับถ้าฉันจับได้ว่าเธอยังอยู่ (ฮา ตั้งชื่อให้เลย) ส่วนปากกาได้ใช้จดบันทึกอยู่ แต่ไม่สะใจ จอเล็กไป ไม่เหมือนสมุดจริงๆ ส่วนฟังก์ชันตัดรูป เขียนโน้ตสั้นๆ แล้วให้เครื่องใช้ข้อมูลจากโน้ตที่เราเขียนไปทำอะไรต่อ เช่น เขียนเบอร์ด้วยลายมือแล้วสั่งให้เครื่องโทรจากเบอร์ที่เราเขียน ก็ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะชีวิตส่วนใหญ่เวลามีเหตุการณ์ที่ต้องการตัดรูปจากเว็บเก็บไว้ หรือจดอะไร มักจะเกิดขึ้นบนรถหรือรถเมล์  ทำให้ไม่มีมือดึงปากกา เลยไม่ได้ใช้

ที่ขัดใจที่สุด คือ มือถือเรือธง ราคากว่าสองหมื่นตอนออกใหม่ๆ ไม่สามารถใช้ app ที่อยากจะใช้ได้ ซื้อ app มาเปิดแล้วขึ้น force close กด refund แทบไม่ทัน

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ Note เลย ตัว Note นั้นดีทุกอย่าง แต่เป็นเพราะ Android ที่ทำให้ผู้พัฒนา app ทำ app ยากเพราะมือถือ Android มีหลายรุ่นเหลือเกิน ผู้ใช้อย่างเราก็คาดหวังว่าเรือธงก็น่าจะใช้ได้ทุก app

ด้วยเหตุผลส่วนตัวต่างๆ ด้านบน ทำให้ พอ Note ออกรุ่นใหม่มา ก็ซื้อทุกครั้ง เพราะคิดว่า น่าจะเหมาะกับเราน่า คราวนี้คงได้ใช้ปากกาแน่ๆ แอนดรอยด์พัฒนามาเยอะแล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่อง app แต่ใช้ไปสักพักก็วนลูปเดิม.. ไม่ได้ใช้ปากกา app ที่อยากใช้ เกมส์ที่อยากเล่นบางที force close สุดท้ายก็ต้องลาจาก ไปซบ iPhone ที่เราเล่นได้ทุก app ไม่ต้องนั่งลุ้น
-_-""""

ป.ล. รักซีรี่ย์ Galaxy Note เสมอ

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประสบการณ์สอบ CU-TEP

เพิ่งไปสอบ CU-TEP มาครับ

สอบมาหลายครั้ง เพราะต้องใช้ผลคะแนนทำอะไรหลาย ๆ อย่าง

ตั้งแต่สอบมา เงื่อนไขการเข้าห้องสอบเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เลย แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลกใจปนประทับใจ และรู้สึกว้าว!! จนอยากจะเขียนถ่ายทอดเอาไว้

มารำลึกความหลังกันก่อน ตอนที่สอบ CU-TEP ครั้งแรก ๆ ประมาณ 2-3 ปีก่อน เท่าที่จำได้คือ มีกฎว่า ห้ามนำมือถือเข้าห้อง ส่วนอุปกรณ์เครื่องเขียนให้นำใส่ถุงใสที่แจกให้หน้าห้องสอบ เพื่อนำเข้าห้องสอบ ส่วนกระเป๋า สัมภาระต่าง ๆ เอาไว้ที่นอกห้อง

ส่วนการสอบครั้งล่าสุดนี้ (2 พ.ย. 57) ห้ามนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างเข้าห้องสอบ ทั้งโทรศัพท์มือถือ นาฬิกาข้อมือ (ใช่ครับ นาฬิกาข้อมือ!!) ส่วนเครื่องเขียนก็ไม่ต้องนำเข้าไป เพราะมีเตรียมไว้ให้ในห้องสอบแล้ว!! สุดยอดมาก เพิ่งเคยเจอนี่แหละ การสอบที่ไปแต่ตัวได้เลย อุปกรณ์ทุกอย่างมีให้ในห้องสอบแล้ว ทั้งดินสอ 2B ปากกา ยางลบ และนาฬิกาสำหรับดูเวลาสอบที่ติดตั้งไว้ที่หน้าห้องสอบ ที่ตั้งเวลาเอาไว้ตรงเป๊ะ

พอเข้าห้องไปก็พบกับสิ่งที่แปลกใจอีก คือ กระดาษคำตอบครับ ปกติไม่ว่าจะเป็นการสอบที่ไหนก็ตาม หรือการสอบ CU-TEP ครั้งก่อน ๆ ที่เคยสอบ เราจะต้องฝนรหัสประจำตัวผู้สอบเอง กรอกชื่อ-นามสกุล รายละเอียดห้องสอบ วิชา เวลาสอบเอง  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะพอได้รับแจกกระดาษคำตอบก็พบว่า.. มันกรอกข้อมูลและฝนรหัสประจำตัวมาให้หมดแล้ว หน้าที่ของเราก็คือ ตรวจความถูกต้อง ฝนระบุเพศของเรา และเซ็นชื่อเป็นภาษาอังกฤษในกระดาษคำตอบครับ ตอนนั้นรู้สึก ว้าว!!! มาก เพิ่งเคยเจอแบบนี้ เจ๋งมากเลย

การสอบเริ่มที่การสอบฟังครับ (Listening) 30 ข้อ 30 นาที ครับ ตึกที่ไปสอบ (อาคารมหิตลาธิเบศ) ชั้น 5 ลำโพงในห้องสอบเสียงดังฟังชัดใช้ได้เลยทีเดียว ก็ฟังไป ตอบไป ฝนกระดาษคำตอบไป (เทปจะอ่านบทสนทนาและคำถามแค่รอบเดียวนะครับ ตั้งสติไว้ 555+) พาร์ทนี้หลังจากเทปที่ให้ฟัง Listening จบ จะมีเวลาเหลือให้ 10 นาทีครับ สำหรับให้ตรวจความเรียบร้อย หรือกลับไปฝนในข้อที่เรายังไม่ได้ฝน (เพราะฟังไม่ทัน ^^') เสร็จแล้วกรรมการคุมสอบก็จะเก็บข้อสอบไป

จากนั้นจะมีเว้นช่วง 10 นาที ให้เราทำใจ พักสมอง เตรียมสอบ Reading ครับ

ช่วง Reading มี 60 ข้อ 70 นาที ครับ ส่วนใหญ่ก็จะมีเนื้อความมาให้เราอ่านประมาณ 1-1.5 หน้ากระดาษ แล้วก็ตอบคำถาม เช่น คิดว่า Title ที่เหมาะกับเนื้อความที่เราอ่านคืออะไร คำที่ขีดเส้นใต้หมายความถึงอะไร จาก paragraph ที่ 3 อาจสรุปได้ว่าอะไร หรืออ่านแล้วคิดว่าผู้เขียนเห็นกับเรื่องที่เขียนอย่างไร เช่น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เห็นในแง่ลบ ฯลฯ  ในส่วนนี้ ถ้านั่งอ่านทุกบรรทัดอาจจะทำไม่ทันครับ -_-""" อาจต้องใช้เทคนิคอ่านคำถามแล้วกลับมาอ่านเนื้อความเพื่อหาคำตอบ สรุปคือ อย่าอ่านเพลินนะครับ ดูเวลาด้วยนะ อิอิ (เพราะเค้าทำไม่ทันมาแล้ว -_-""")

จากนั้นก็จะมีเว้นช่วงอีก 10 นาที ให้เรานั่งรำลึกว่า รู้แบบนี้เตรียมตัวมาดีกว่านี้ดีกว่า (555+) แล้วก็เตรียมสอบพาร์ทสุดท้าย คือ Writing ครับ

ส่วน Writing มี 30 ข้อ 30 นาที โจทย์ คือ จงจับผิดว่าประโยคที่ให้มา มีส่วนใดที่ผิดไวยากรณ์หรือ Grammar (ส่วนนี้ผู้เขียนไม่ถนัดที่สุดในโลก 555+) ดังนั้นเลยแนะนำอะไรมากไม่ได้ นอกจาก จงแม่นไวยากรณ์ครับ ถ้าใครไม่แม่นก็.. จงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง..

จบแล้วครับ สำหรับการสอบ CU-TEP

ส่วนผลคะแนน เท่าที่ลองหาข้อมูลดู ทั้งจากเว็บของศูนย์ทดสอบของจุฬาฯ เอง และตาม Pantip เห็นบอกกันว่า ประมาณ 2 สัปดาห์ก็รู้ผลแล้วครับ (ว่าจะต้องสอบใหม่มั้ย ^^') บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าประมาณ 10-12 วันก็จะรู้แล้ว โดยจะประกาศที่เว็บ ต้อง log in เข้าไปดู

ถ้าใครต้องไปสอบ CU-TEP ล่ะก็
ขอให้โชคดีทุกคนครับ
^__^

ต่ออายุใบขับขี่ 5 ปี เป็น 5 ปี

(ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561) สวัสดีทุกคนที่หลงเข้ามานะ วันนี้เราไปต่ออายุใบขับขี่ แบบ 5 ปี (ใบขับขี่เดิมที่หมดอายุเป็นแบบ 5 ปี ไ...